Monday, November 23, 2015

13 เรื่องเตือนใจสำหรับเด็ก admission

1.เตรียมตัวพร้อม วางแผนดี มีชัยไปเกินครึ่ง
ถ้วยว่าไม่ว่าครูคนไหนก็พูดกรอกหูกันประจำแหละครับว่าให้เรามองอนาคตตัวเองได้แล้ว ว่าชอบอะไร จะเรียนอะไร จะทำอะไร โดยเฉพาะอาจารย์แนะแนวจะพูดและถามไถ่เด็กๆเป็นพิเศษเลยละ ถ้วยว่านะ มารู้ตัวตอน ม.4 ถ้วยว่ายังช้าไปเลยนะเพราะด้วยระบบสอบแบบใหม่(ที่ผู้ใหญ่ช่างสรรหามารังแก เด็กเหลือเกิน)ทำให้เราต้องรู้ตัวเองเร็วขึ้น ใครขึ้น ม.6 แล้วยังหาตัวเองไม่เจอ รีบๆด้วยนะ 

หลังจากเราค้นหาตัวเอง เจอตัวเองแล้วว่า เราชอบอะไร อยากทำอะไร ตอนนี้ละเป็นเวลาที่เราจะมานั่งหาข้อมูลกันว่า มีที่ไหนเปิดสอนสิ่งที่เราชอบมั้ง แล้วมีรับตรงไหม สอบอะไรบ้าง แล้วถ้าไม่ได้ตอน Admission ยังมีให้สอบไหม ใช้อะไรบ้าง GAT กี่% PAT กี่% เนี่ยถ้าเรารู้ตัวเองเร็วซะอย่าง การวางแผนก็จะตามมา ยิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีนะเรื่องนี้ 
อย่าเป็นมนุษย์จอมอึน  ไม่รู้เอี้ยอะไรซักอย่างเลย นอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อตัวเองแล้ว ยังทำให้เสียสุขภาพจิตของคนอื่นอีกด้วย
 
2.เด็กเจ้าโครงการมีอยู่ทั่วแหละ
ข้อนี้ออกแนว "แฉ" ตัวเองนิดหน่อย ถ้วยก็เป็นนะ มนุษย์เจ้าโครงการ เดี๋ยวฉันจะทำอย่างนั้น เดี๋ยวจะทำอย่างนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ และจะทำก็ไม่ทันแล้ว
เดี๋ยวจะโน็ตย่อวิชานี้ไว้ ก่อนสอบจะได้มีอ่าน >>> ตอนสอบยังแบกเล่มใหญ่ๆมาอ่านอยู่เลย (อ่านได้ 3 หน้า)
ฉันว่าจะนั่งท่องศัพท์วันละคำ ตอนสอบอังกฤษจะได้จำได้ >>> ก่อนสอบ 10 นาทียังนั่งตะบี้ตะบันยัดศัพท์พันตัวเข้าหัวอยู่เลย
ฉันจะอ่านหนังสือทุกเที่ยงวัน >>> นั่งกินข้าวยังไม่เสร็จเลย นั่งเม้าส์อีกต่างหาก
ช่วงนี้ฉันยืมหนังสือมาจากห้องสมุดด้วยแหละ จะเอาไปอ่านบ้าน >>> ไม่ได้เอาไปอ่านหรอก เอาไปนอนหนุน
เราว่าเรามาติวด้วยกันเถอะ ทุกเสาร์ บ้านถ้วย 10 โมง โอเค๊? >>>10 โมงมารวมตัวกัน เล่นเกมส์ Play เมามัน
ถ้วยน้อยทำเป็นล่ำเป็นสันเลย เขียนตารางไว้เลย วันนี้อ่านอันนี้ ทำอันนั้น จะไปอันโน้น สุดท้ายก็ไม่ได้ทำซักอย่าง เสียเวลานั่งวางแผนชีวิตที่ไม่ได้ทำ เสียเวลาไปนานโขเลยละ 
ดังนั้น อย่ามัวเป็นมนุษย์เจ้าโครงการ วางโครงการอะไรไว้ ก็ทำให้ได้นะจ้ะ ไม่งั้นเสียเวลาเปล่าๆนะ
แต่ถ้วยน้อยว่านะอันนี้ถ้วยไม่ได้เป็นคนเดียวนะ ใครเป็นมั้ง ยกมือให้ถ้วยน้อยดูหน่อยสิ "เด็กเจ้าโครงการ"
 
3.จัดตารางเป็น แบ่งเวลาให้ดี เพราะ ม.ปลายนี้มันสั้นนัก
พอ ม.ปลายแล้วนี่ ยิ่งต้องจัดเวลาให้ดีนะ โดยเฉพาะ ม.6 ซึ่งเป็นชั้นที่สุดจะวุ่นวายเลยสำหรับบางโรงเรียนที่ยังยัดกีฬาสี +
สภานักเรียน ไว้ให้ ม.6 รับผิดชอบ ทำให้เวลาอ่านหนังสือของเราน้อยลง แล้วยิ่งต้องมาเจอกับงานต่างๆ และการบ้านมากมายที่สุดแสนจะไร้สาระของอาจารย์บางคนอีก จากเวลาอ่านหนังสือที่คิดว่าเต็มที่ก็น้อยลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นการจัดเวลาอ่านหนังสือจึงสำคัญมาก 
ถ้วยน้อยมิอาจจะให้คำแนะนำ ได้ เพราะถ้วยน้อยล้มเหลวในการจัดตารางไปหน่อย แต่ยังโชคดีที่อ่านทันในระยะเผาขน ถ้วยน้อยใช้เวลาอ่านหนังสือแบบเต็มๆก็ 3-4 เดือนก่อนสอบ แต่ถ้วยว่ายังไงๆ  3-4 เดือนก็ยังไม่พออยู่ดี เพราะฉะนั้น ถ้วยเลยอยากแนะนำว่า ยิ่งเราเริ่มเร็วเท่าไหร่ มันจะยิ่งเป็นผลดีต่อด้วยน้องๆ
อันนี้เป็นวิธีง่ายๆ ที่พี่ส้มแนะนำไว้ (และถ้วยก็ทำตาม) ในหนังสือ ภารกิจพิชิตฝัน แอดมิชชั่น ติดชัวร์ ก็คือ เอาหนังสือมานั่งกองๆ นับจำนวนหน้า หารด้วยจำนวนวันที่เหลือ อย่างเช่น
ถ้วยมีหนังสือจำเป็นต้องอ่านทั้งหมด 3 เล่ม นับจำนวนหน้าได้ 990 หน้า ถ้วยน้อยมัวแรดๆๆๆ เลยมีเวลาอ่านหนังสือสอบจริงๆ 30 วัน ซึ่งทำให้ต้องอ่านวันละ 33 หน้า ( กระอักสิแบบนี้)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็วางแผนกันดีๆนะครับ ว่าจะวางแผนอ่านหนังสืออย่างไร ทำให้ได้ละ ขอย้ำว่าอย่างเป็นมนุษย์เจ้าโครงการนะครับ

4."อ่านเยอะ" กับ "อ่านเป็น" มันต่างกัน
บางคนนี่อ่านก็ซักแต่ว่าอ่านจริงๆนะ คืออ่านมันทุกเล่ม เล่มไหนเค้าว่าดีก็อ่านหมด จนอ่านเยอะกว่าเค้า แต่ที่อ่านไปก็จำอะไรไม่ได้ เหมือนกับอ่านผ่านๆไปงั้นเอง ดังนั้นอ่านเยอะ อ่านมาก แต่เอามารวบยอดเป็นความคิดเราไม่ได้ อย่าคิดเลยว่าตอนสอบจะได้ score ดีๆ

การอ่านหนังสือเพื่อไปสอบแบบนี้ มันต้องสู้ด้วยเทคนิคครับ ซึ่งอันนี้มันแล้วแต่คนนะ
(1) บางคนอ่านแบบอ่านไปเรื่อยๆ ค่อยๆอ่าน ให้มันเข้าหัว
(2) บางคนอ่านไปเน้นใจความสำคัญด้วยปากกาไฮไลไป
(3) บางคนอ่านไปย่อโน็ตย่อไป (ถ้วยน้อยทำจ้ะ ข้อนี้)
(4) บางคนอ่านไปพูดไป
บลาๆ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าด้วยวิธีไหน อ่านแล้วขอให้จับประเด็นได้ก็แล้วกันว่าหัวข้อนี้พูดถึงอะไร ก็ใช้ได้แล้ว
หลังจากนั้น 2-3 วันลองเปิดดูหน้าสารบัญดูหัวข้อที่เราอ่านไปแล้ว แล้วลองนึกดูว่าเนื้อหาบทนั้นมีอะไรบ้าง แล้วเรื่องมันเป็นยังไง 
ถ้าจำไม่ได้
ถ้วยว่าลองกลับไปอ่านใหม่อีกรอบก็นะดี

 
5.การกวดวิชา ดาบ 2 คมชั้นดีของเด็กแอด
ถ้วยน้อยก็กวดวิชาเหมือนกันนะ แต่คะแนนก็ไม่ได้ห่างกับเด็กที่ไม่เรียนเท่าไหร่เลย เคยแอบน้อยใจนิดๆเหมือนกันแล้วยิ่งถูกถากถางจากเด็กที่เค้าไม่ได้เรียนพิเศษ แล้วได้คะแนนเยอะกว่าเป็นอะไรที่เจ็บใจมากๆ คนเรามันถนัดไม่เหมือนกันนิเว้ย 
เอาละนอกประเด็นแล้ว ประเด็นก็คือ ทำไมมันเป็นดาบ 2 คมละ?
มี เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนถ้วยน้อยอยู่คนนึง (ลำดับญาติถูกไหม?) คือเรียนพิเศษทุกที่ที่มีให้เรียนเลยทีเดียว ลงทุกคอร์ส ที่ไหนดังไปหมด ลงไม่เหลือ วันธรรมดาเรียนจนดึก เวลาเสาร์-อาทิตย์เรียนแมร้งเช้ายันเย็น ปิดเทอมไม่มีว่างเว้น เรียนอย่างเดียว ถ้วยน้อยเคยสงสัยติดซะมั้ง แบบนั้น
แต่สุดท้ายไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ตอนประกาศผลออกมา คะแนนน้อยมากจนน่าใจหาย คะแนนน้อยชนิดอาจจะไม่ติดที่ไหนเลยก็ได้
ถ้วยว่าสาเหตุไม่ใช่อะไรหรอก อาจจะเป็นเพราะว่า พอเรียนมาก ก็เลยคิดว่าตัวเองคงไม่ต้องไม่ต้องทวนอ่านหนังสือเอง ซึ่งนั่นมันผิดและไม่ถูกต้องเลย บางรายก็ไปหาแฟนก็มีอยู่ในห้องก็ไม่ค่อยเรียน นัวเนียกันอยู่นั่นแหละ โรงเรียนกวดวิชานะเว้ย ไม่ใชโรงแรม อุจาดตามากๆ บางคนก็เรียนมากเกิน หัวคนนะเว้ยไม่ใช่คอมพิวเตอร์จะมายัดเข้าหัวหลาย GB ในไม่กี่นาทีมันไม่ได้หรอกนะ
เอาเป็นว่าใครจะเรียนกวดวิชาก็ลองทำตามคำแนะนำของบล็อกนี้ดูนะ น่าจะได้ผล

 
6.อย่าไปซีเรียสกับมันมาก อย่าไปจริงจังกับมันมาก
อย่างที่ผู้ใหญ่เค้าบอกมันก็จริงนะ "เหนื่อยวันนี้ สบายวันหน้า" ผู้ใหญ่เค้าคงประมาณว่าเรียนให้หนักๆวันนี้ วันหน้าสบายแน่ๆไม่ต้องมาลำบากแล้ว มีการมีงานดีๆทำ แต่การเหนื่อยวันนี้ เราไม่จำเป็นต้องไปเหนื่อยจนสายตัวสายหัวแทบจะขาดสะบั้นนิ ชีวิต ม.ปลาย มันเป็นอะไรที่น่าจดจำนะ เราว่าอย่าไปจริงจังอะไรมากๆกับการสอบจนเราไม่ได้หาความสุขของคำว่า "ชีวิต ม.ปลาย" เลย

ถ้วยว่าเราคงจะแอบเสียดายนะ ถ้าวันหนึ่งในงานเลี้ยงรุ่นคนอื่นเค้าเล่าเรื่องตอน ม.ปลายได้เยอะแยะเลยว่าไปสร้างวีรกรรมอะไรกันมาบ้าง ในขณะที่เรานึกได้แต่ภาพตัวเองนั่งอยู่บนโต๊ะหนังสือกับหนังสือกองหนึ่ง???
ยังไงก็ตามแต่ไอ้การสอบมันก็สำคัญแต่ยังไงลองแบ่งเวลาที่เราจะเอาไปไว้เรียน แบ่งให้กับเวลาที่มีความสุขและที่มีความหมายอื่นๆด้วยดีกว่าไหม?


7.เรื่องรักทำให้พักรบ

เหนื่อยยังครับท่านผู้อ่าน เขียนซะเยอะ อ่านแล้วเมื่อยตุ่มเมื่อยตากันไหม? เอาน่าๆมาครึ่งทางแล้ว
ไอ้ มีรักมันก็ดีนะ แต่ก็ต้องแบ่งเวลาให้เป็น มีเพื่อนถ้วยคนนึง คือแบบอกหักช่วงใกล้สอบพอดิบพอดีเลย แล้วเป็นอะไรที่ยอดมาก เค้าใช้เวลาทำใจถึง 1 เดือนหนังสือไม่แตะเลยทีเดียว
บอกได้คำเดียว คำสั้นๆ "มีรักช่วงนี้ บริหารดีดีนะจ้ะ"
(ข้อนี้เขียนสั้นหน่อยเพราะถ้วยน้อยไม่ค่อยมีประสบการณ์ความรักเท่าไหร่ เป็นเด็ก Innocent )

8.หยุดกดดันตัวเองได้แล้ว ทำตัวเองให้สบายๆหน่อยสิ
ก็คงมาจากข้อ 6 หน่ะแหละครับ แต่อันนี้ขอขยายความอีกหน่อย คือมันมีอยู่หลายเรื่องด้วยกันนะที่สร้างความกดดันให้เราเองโดยไม่รู้ตัว อาทิ เช่น
- กลัวที่จะไม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ อันนี้สร้างความกดดันให้ตัวเองแท้ๆเลย อย่างที่บอกไปแล้วข้างต้น อย่าไปซีเรียสกับมันเลย เสียสุขภาพจิตเปล่าๆ
- เพื่อนติดโควต้ากันหมด มีที่เรียนแล้ว แต่เราไม่มี เอ่อ...อันนี้มันเครียดจริงๆแหละ แต่ก็ปลอบใจตัวเองไปเลยว่า ฟ้าประทานรอบแอดมิชชั่นมาให้แน่ๆเลย แต่ยังไงก็กลับไปฟิตอ่านหนังสือต่อ อย่าเครียดนะน้องจ๋า
ปล.พอเพื่อนปลอบใจก็อย่าไปถากถางเพื่อนว่า "ใช่ซี๊...ก็แกติดแล้วนิ" นะ เสียเพื่อนเปล่าๆหนูเอ้ย
- พ่อแม่เอาเรื่องเราไปเล่าให้เค้าฟัง พ่อแม่ใครเป็นมั้งครับ เอาเรื่องของเราว่าจะสอบที่โน้นไปเล่าให้คนข้างบ้านฟัง ว่าลูกไปสอบโควต้า ม.ชื่อดัง ไปเล่าให้คุณป้าข้างบ้านฟัง เอาเรื่องเกรดงามๆไปเล่าให้ทารกข้างบ้านฟัง แล้วรู้สึกกดดันตัวเองว่า เราต้องทำให้ได้เพื่อไม่ให้ท่านเสียหน้าบ้าง? ถ้วยน้อยเป็นคนนึงแล้ว ไม่รู้จะเล่าให้ฟังทำไม แต่ถ้วยไม่แคร์สื่อหรอกครับ นี่ก็ทำพ่อแม่เสียหน้ามาหลายรอบเหมือนกันจนพ่อแม่เค้าไม่กล้าเอาไปเล่าให้ ชาวบ้านฟังแล้ว (ฮาๆ)

9.ความขยันหมั่นเพียรยังไม่ใช่คำตอบว่า "สำเร็จ" เสมอไป
หลายครั้งหลายหนที่มีคนพร่ำ บ่นกับถ้วยน้อยเยอะแยะมาก ว่าอุตส่าห์ขยันอ่านหนังสือแล้ว เต็มที่แล้ว แต่ก็ยังสอบไม่ติดโควต้าอีก หรือตอนแอดมิชชั่นคะแนนรวมกันก็ยังไม่ได้คะแนนที่หวังไว้
ก็อยากจะบอกว่า ความขยันอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวที่เป็นปัจจัยที่ทำให้เรามุ่งไปสู่ความสำเร็จ ปัจจัยนึงเรียกว่า "ความไม่พร้อม" อีกปัจจัยนึงที่เรียกว่า "โอกาส"
"ความไม่พร้อม" อาจเกิดขึ้นเพราะเวลาที่เราขยันนั้นมันน้อยไปรึเปล่า? บางทีเราต้องกลับมาย้อนดูตรงนี้เหมือนกัน อย่างถ้วยน้อยก็คิดเหมือนกันว่า เวลาที่เราให้นั้น มันไม่พอเลย 3-4 เดือนก่อนสอบ มันไม่พอจริงๆ ขนาดโทมัส เอดิสันยังใช้เวลานาน และล้มเหลวกับการทดลองมาตั้งกี่ครั้ง กว่าเค้าจะได้หลอดไฟมาซักดวงเลย ดังนั้นด้วยศักยภาพของเรากว่าจะถึงคำว่า "สำเร็จ" อาจจะต้องใช้เวลาและความพร้อมอีกซักหน่อยก็ได้
"โอกาส" ก็เป็นอีกปัจจัยนึงนะ คือตอนเนี่ยการแข่งขันมันค่อนข้างสูงเราอาจจะขยันพอแล้ว แต่คนอื่นเค้าก็ขยันเหมือนกับเราเหมือนกันไอ้คนที่เก่งแมพขิงๆที่ไม่ต้อง อ่านก็เก่งแบบเราได้ก็มี ดังนั้น "โอกาส" จึงเป็นปัจจัยทีเราควบคุมไม่ได้อยู่ มันขึ้นอยู่กับเวลาและจังหวะชีวิตจริงๆ
ที่จริงยังมีอีกหลายปัจจัยที่อาจจะทำให้เราไม่ประสบความสำเร็จ แต่แค่ 2 ข้อก็ทำให้รู้แล้วใช่ไหมครับ ว่าความขยันอย่างเดียวไม่สามารถจะสำเร็จได้ ถ้ายังไม่มีปัจจัยอื่นๆมาช่วยเสริม ดังนั้น อย่า ตัดพ้อว่าเราขยันแล้วเต็มที่แล้วแต่ทำไมมันไม่สำเร็จ ขยันต่อไปครับ พยายามต่อไป เมื่อปัจจัยทุกอย่างมันเกื้อหนุนทุกอย่าง ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลมือเราครับ

10.ฝึกตัวเองให้รับเรื่องเหนือความคาดหมาย
 
ทักษะนี้ควรมีไว้ให้เยอะๆเลยนะครับในช่วงการสอบแอดมิชชั่น  ยกตัวอย่างดีกว่า
 หลังจากถ้วยน้อยสอบ O-net อังกฤษเสร็จ ถ้วยน้อยก็ออกจากห้องสอบด้วยความมั่นใจ"อังกฤษรอบนี้ 70up ชัวร์ๆ อ่านออกทุกตัว ยิ้มน่าบานในวันประกาศผลสอบ "ได้ชัวร์" คำพูดนี้ติดอยู่ในใจ ถ้วยน้อยค่อยๆเอากระดาษปิดหน้าจอคอมเพื่อค่อยๆเปิดดูคะแนนอย่างลุ้นๆ คะแนนแต่ละวิชาเป็นที่น่าพอใจจนมาถึงภาษาอังกฤษ "70up 70up" ถ้วยค่อยๆเลื่อนกระดาษลงแล้วผลที่ออกมาคือ "55 คะแนน"
ถ้วยน้อยจะเรียก "ทักษะการรับรู้เรื่องเหนือความคาดหมายอีกอย่างหนึ่งว่า "ทักษะการรับความจริง" นะครับ เรื่องที่มันเกินคาด ถ้าในทางที่ดีคงไม่มีใครเสียใจหรอกเนอะ แต่พอเป็นทางที่ไม่ดีนี่สิ บางคนถ้ามารับรู้แบบตัวอย่างของถ้วยน้อยที่ยกมาคงร้องไห้เสียใจ คิดว่าชีวิตนี้ล้มเหลวนั่งด่าตัวเองเป็นอีนังโง่แน่ๆ นั่นเป็นการทำลายสุขภาพจิตของเราเปล่าๆ คะแนนก็ไม่สามารถจะไปแก้ไขได้แล้ว ถ้วยว่าทำใจแข็งยืดอกพกถุงรับความจริงไปเลยดีกว่า แล้วเราก็มองหาหนทางอื่นต่อไป...

 
11.แอดมิชชั่นไม่ใช่จุดจบของชีวิต เส้นทางนี้ปิดก็เดินทางอื่น
นายเอ : ได้คะแนนทั้งหมด 3000 เรียนต่อ ม.เอกชน

 นางสาวบี : ได้คะแนนทั้งหมด 4300 เรียนต่อ ม.ใกล้บ้าน

 นายซี : ได้คะแนน 5200 เรียนต่อ ราชภัฐ

นางสาวดี : ได้คะแนน 7100 จะเรียนอักษรแต่ไม่ได้ และฆ่าตัวตาย...
 
บางครั้งจากการที่รับความ จริงไม่ได้และความผิดหวังสุดๆ บางคนคิดผิดไปปลิดชีวิตตัวเองเลยก็มีถึงแม้ตัวเอง โดยที่ไม่ได้มองตัวเองว่าตัวเองยังมีหนทางอื่นอีกมากมายให้เดิน หากใครที่ยังไม่ได้ตายไปเสียก่อนแล้วอ่านบทความนี้อยู่ก็อยากจะบอกว่า แอด มิชชั่นมันก็เสี้ยวหนึ่งของชีวิตมันไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตและไม่ใช่ทั้งหมด ในอนาคตของเรา เราลองมองหาหนทางอื่นแล้วไปมานะพยายาม และสร้างโอกาสให้ตัวเองเส้นบนทางอื่นดีไหมครับถ้วยรู้ว่าเครียดแต่เราแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เราเครียดกันมามากแล้วตอนช่วงสอบ ลองผ่อนคลายกันหน่อยไหม ตั้งสติ ปรึกษาพ่อแม่ แล้วมองหาทางอื่นกันเนอะ

12.เห็นโลงศพแล้ว ค่อยมาหลั่งน้ำตา
ความรู้สึกนี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเราฟังคำแนะนำของใครต่อใครแล้วปฏิบัติตาม
หลายครั้งที่อาจารย์แนะแนวพร่ำสอน หลายครั้งที่พ่อแม่พร่ำบอก หลายครั้งที่เพื่อนๆตักเตือนว่าให้เราเตรียมตัว เตรียมความพร้อมกับแอดมิชชั่นที่ใกล้จะมาถึง แต่ด้วยความที่ไม่ฟัง ขี้เกียจ มัววิ่งเล่น หยิ่งยโส ถือดี อวดเก่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ เมื่อมาถึงจุดๆนึงที่พอรู้ตัวว่าสิ่งที่เราทำ...มันไม่ใช่ มันก็สายไปแล้วที่จะแก้ไข
ถ้วยน้อยไม่อยากให้เพื่อนๆ ที่อ่านรู้สึกแบบนี้หลังจากการสอบแอดมิชชั่นสิ้นสุดลง ดังนั้นถ้วยน้อยจึงอยากให้เพื่อนทำให้เต็มที่กับการสอบแอดมิชชั่น อย่ามัววิ่งเล่นมากเกินไป แต่ก็อย่าไปซีเรียสกับมันมากเกินไปเหมือนกัน ถ้าเราเต็มที่ซะอย่าง คำว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" จะไม่ย่างกรายเข้ามาให้เพื่อนๆเสียความรู้สึกเป็นแน่แท้
แต่ถ้าใครโดนความรู้สึกนี้ไปแล้ว ถ้วยคงไม่มีอะไรจะบอกมากนอกจากกลับไปอ่านข้อที่ 11 ที่ถ้วยน้องบอกไว้ และขอเป็นกำลังใจให้สู้ๆ ต่อไป
ถ้วยน้อยก็หวังไว้เล็กๆว่า ใครที่เคยอ่านบทความนี้ผ่านตาไปแล้ว เมื่อกลับมาอ่านอีกเมื่อภารกิจแอดมิชชั่นสิ้นสุดลง คงไม่มีคำว่าใครมานั่งเสียใจกับสำนวนที่ว่า "ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา" นะครับ 

 
13.ผู้ชนะจงภูมิใจในความบากบั่น ผู้แพ้จงปาดน้ำตาแล้วเดินต่อไป
การชนะ และการแพ้ ในสนามสอบแอดมิชชั่น ไม่ใช่เพราะ "แอดติด" หรือ "แอดไม่ติด"
แต่การแพ้ชนะของแอดมิชชั่นในครั้งนีมันอยู่ที่ "เราสามารถทำเป้าหมายของเราที่ตั้งไว้นั้น สำเร็จรึเปล่า"
ใครที่ได้ตามที่ใฝ่ฝันไว้ ถ้วยน้อยขอแสดงความยินดีด้วยนะ คุณทำได้แล้ว ชนะแล้วยินดีด้วยจริงๆ เย้ๆๆ

ส่วนใครที่อาจจะไม่ได้ตามฝัน ไม่ต้องเสียใจนะ
นี่แค่ยกแรกของชีวิต ข้างหน้ายังมีอะไรให้เราฝ่าฟันอีกหลายยกเลย เราแพ้ในตอนนี้เอง ไม่ได้แพ้ตลอดไปเสียหน่อยจริงแมะ?

เฮ้อจะว่าไปถ้วยน้อยก็เป็นคน นึงที่อาจจะทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ไม่เป็นไรถ้วยยังมีหนทางอื่นที่สามารถไปได้อีกแยะเลย ถึงแม้จะแพ้ก็แฮปปี้กับทางอื่นได้ใช่ไหม



 
เขียนหมดทั้ง 13 ข้อแล้วสินะ....เหมือนจะไม่เยอะแต่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะ
ทั้งหมดนี้ขุดจากประสบการณ์ทั้งหมดที่มีมาเล่าสู่ให้เพื่อนๆฟัง
บางข้อก็อยากเป็นอุทาหรณ์ไม่ให้เพื่อนๆน้องๆต้องมาเจอเหมือนถ้วยน้อย
และบางทีจะสังเกตเห็นว่าถ้วยน้อยพูดซ้ำเยอะมาก ไอ้ข้อความที่ถ้วยน้อยย้ำและซ้ำบ่อยๆเนี่ยแหละ อยากให้เพื่อนจำไว้นะ
พอเอาขึ้นบล็อกเสร็จ ถ้วยคงเอาให้น้องๆอ่านแล้วละ

เหนื่อยจัง พักก่อนนะครับ
หวังว่าจะได้รับประโยชน์จากเอ็นทรีย์นี้ไม่มากก็น้อยนะครับ



Read more at http://www.unigang.com/Article/786#ZkEBZv2ImuI2iayR.99

No comments:

Post a Comment